ปัจจุบันนี้เทรนด์รักสุขภาพกำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรือกินอาหารให้เป็นประโยชน์ อาหารเสริมจึงกลายมาเป็นทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะน้ำมันตับปลาที่หลายคนเลือกมาเสริมร่างกายให้แข็งแรงกัน แต่ยังมีอีกหลายคนที่เข้าใจผิดระหว่างน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา
เมก้า วีแคร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงมาไขข้อข้องใจเรื่องนี้กัน
เภสัชกรหญิงวิชชุลดาผรณเกียรติ์ผู้เชี่ยวชาญจากเมก้าวีแคร์เผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคสับสนมากระหว่างน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา ที่ความจริงแล้วแตกต่างกันอย่างมาก
แท้จริงแล้ว "น้ำมันตับปลา" นั้นเป็นน้ำมันที่สกัดได้จากตับของปลาทะเล ซึ่งมีวิตามินเอและดี นิยมใช้ในเด็ก วัยรุ่นและวัยทำงานทั่วไป เพื่อเสริมสร้างกระดูกและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวหนังและดวงตาจากการถูกทำลายด้วยมลพิษ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ "น้ำมันปลา" เป็นสารสกัดจากเนื้อ หัว หาง และหนังของปลาทะเล เช่น ปลาแอนโชวี่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล และปลาทูน่า ที่เป็นแหล่งรวมของโอเมก้า 3 ที่มีส่วนประกอบสำคัญของสมอง ระบบประสาท การทำงานของระบบหลอดเลือดหัวใจและสายตา ซึ่งหากได้รับไม่เพียงพอจะส่งผลต่อความเสื่อมของสมอง ดวงตา มีภาวะความดันโลหิตสูง และหลอดเลือดอุดตันจากไขมันในเลือดสูง
"หากจะเทียบกับปริมาณโอเมก้า 3 ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันแล้ว การกินปลาทูขนาดตัวกลางๆ เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ตัว โดยไม่จำเป็นต้องซื้อปลาแพงๆ มากินก็ทดแทนกันได้
ที่สำคัญแนะนำให้ปรุงอาหารแบบต้มหรือนึ่ง เพื่อคงคุณค่าของโอเมก้า 3 ไว้ หากกินปลาเป็นประจำก็ไม่จำเป็นต้องไปเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ มากิน ซึ่งการจะกินน้ำมันปลาอย่างเหมาะสมนี้ ต้องคำนึงถึงสภาพร่างกายของเรา หากเป็นบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพดี ทางสมาคมโรคหัวใจของสหรัฐแนะนำให้กินกรดไขมัน
โอเมก้า 3 เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โดยกินอย่างน้อย 500 มิลลิกรัม" เภสัชกรหญิงกล่าว
ที่สำคัญควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน
ขอบคุณภาพประกอบจาก Flickr
ที่มา: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450325307
ติดตามข่าวด่วน เกาะกระแสข่าวดัง บน Facebook คลิกที่นี่!(Like)