“เอล กลาสิโก้” ที่เปลี่ยนไป



มีเหตุผลหลายอย่างครับที่ทำให้ “เอล กลาสิโก้” แมตช์นี้ไม่ “เปรี้ยง” เหมือนที่ผ่านมาที่จะมีการปูพรมกันก่อนล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์

แต่เกมที่ซานติอาโก เบอร์นาบิว ในคืนวันเสาร์นี้ยังเป็นเกมที่ไม่ควรมีใครพลาดอยู่ดี

เอล กลาสิโก้ หรือที่เราเรียกันแต่ดั้งเดิมว่า “เอล ดาร์บี้” นัดนี้ยังคงเป็นเกมที่มีความหมายต่อการลุ้นแชมป์ ลา ลีกา เช่นเดิมครับ แม้เส้นทางจะผ่านมาไม่ถึงครึ่งฤดูกาลก็ตาม เพราะชัยชนะหรือความพ่ายแพ้จะส่งผลมากกว่า 3 คะแนนที่ได้หรือหายไป

สำหรับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด และ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า กระแสกดดันจากสื่อและแฟนบอลคือสิ่งที่น่ากลัวกว่ามาก

โดยเฉพาะสำหรับมาดริด ภายใต้การนำของ ราฟา เบนิเตซ ที่ได้รับกระแสตอบรับจากสื่อและแฟนบอลไม่ดีนัก ทั้งที่ “เอล บอส” ก็เป็นสายเลือดแท้ของสโมสรมาตั้งแต่ก่อนเก่า และผลงานในช่วงแรกของเขาก็ไม่ถือว่าขี้เหร่นัก

ราฟา อาจโชคร้ายที่พลาดท่าพ่ายต่อ เซบีญ่า มาในเกมล่าสุดและทำให้ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ แต่ในเกมฟุตบอลสมัยใหม่นั้นทีมระดับรองหลายทีมมีศักยภาพและรู้วิธีที่จะปราบทีมระดับ เรอัล มาดริด ได้ หากพวกเขามีการเตรียมตัวที่ดีพอ เซบีญ่า เป็นตัวอย่างหนึ่ง เช่นกันกับ เซลต้า บีโก้ ที่ถล่มบาร์เซโลน่า ย่อยยับในช่วงก่อนนี้

โชคร้ายมากกว่าสำหรับราฟา คือการที่สื่อและแฟนบอลตั้งแง่กับ “สไตล์” การทำทีมของเขาที่เน้นเรื่องของเกมรับมากกว่าในอดีต

ทั้งๆที่ตลอดมา “โลส บลังโกส” มีปัญหาเรื่องเกมรับโดยตลอด และเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นในฤดูกาลนี้เอง

สิ่งที่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับพวกเขาจึงเป็นเรื่องของเกมรุกที่ไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเก่า

อาการบาดเจ็บของ คาริม เบนเซม่า และฟอร์มการเล่นที่ตกลงอย่างมีนัยสำคัญของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ มีส่วนในผลงานที่เริ่มดิ่งลงในช่วงหลัง โดยเฉพาะ “CR7” ที่เห็นได้ชัดว่านอกจากจะไม่ถนัดกับบท False no9 แล้ว เขาเริ่มไม่มีความสุขกับการเล่นอีกครั้ง

ตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ ราฟา ต้องหาทางเอาให้อยู่ เพราะหากปล่อยไปเช่นนี้โอกาสที่ CR7 Effect จะกระเทือนต่อเก้าอี้ตัวเองมีสูง

และชัยชนะใน “เอล กลาสิโก้” เป็นสิ่งหนึ่งที่จะสยบเรื่องทั้งหมดได้

แต่คำถามคือบาร์ซ่า จะยอมง่ายๆหรือ?

แน่นอนครับว่าคำตอบนั้นชัดเจนว่า “ไม่” สำหรับเหล่า “อาซูลกราน่า” ไม่มีสิ่งใดจะหอมหวานไปกว่าการบุกไปชนะที่เบอร์นาบิว ได้ดับฝันและปิดปากเหล่านักรบดาราเหล่านี้ไปพร้อมกัน



บาร์ซ่า กำลังอยู่ในช่วงที่กำลัง “ได้ใจ” หลังจากที่พวกเขาผ่านบททดสอบที่ยากที่สุดกับการขาดหายไปของ ลิโอเนล เมสซี่ ราชาลูกหนังเป็นระยะเวลาร่วม 2 เดือน

ในช่วงแรกแชมป์เก่าทำท่าจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่ความเจ็บปวดจากบททดสอบที่ยากเย็นทำให้นักเตะในทีมหลายคน “ยกระดับ” ตัวเองขึ้นมาให้กลายเป็นคนสำคัญของทีม

โดยเฉพาะ เนย์มาร์ ที่กลายเป็น “หัวใจ” ของทีมในช่วงที่ผ่านมาแทนที่ของ เมสซี่ โดยมี หลุยส์ ซัวเรซ เป็นคู่หูคอยสนับสนุนอยู่เคียงข้าง

บาร์ซ่าที่ไร้เมสซี่ อาจลดความน่าเกรงขามและมนต์วิเศษไปบ้าง แต่ประสิทธิภาพของ N (eymar) และ S (uarez) นั้นยอดเยี่ยม หรืออาจกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมกว่าที่เคยก็ได้สำหรับทั้งสองคน

อีกหนึ่งคนที่ได้รับคำชมล้นหลามคือ เซร์คิโอ บุสเกตส์ ที่ยกระดับขึ้นมากลายเป็น “แกน” ในแดนกลางของทีมได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้เหล่าบาร์เซโลนิสต้า คลายความกังวลใจขึ้นว่าต่อไปหากสิ้นยุคของ อันเดรส อิเนียสต้า พวกเขายังมีสายเลือดคาตาลันคนนี้ที่พร้อมจะเป็นแกนนำให้

อย่างไรก็ดี ก่อนเกมพวกเขาได้ข่าวดีที่สำคัญอย่างยิ่งคือการกลับมาของ เมสซี่ ที่ลงซ้อมได้แล้วและคาดว่าพร้อมจะลงช่วยทีมในเกมนี้ทันที

เพียงแต่ข่าวดังกล่าวนำเครื่องหมายคำถามกลับมาด้วยว่าการกลับมาของ “ราชาลูกหนัง” ในเกมนี้จะส่งผลต่อ “โมเมนตัม” ของบาร์ซ่า ที่ทำมาได้ดีตลอดแม้ในยามที่ไม่มีเขาหรือไม่?

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองกันต่อไปในระยะยาวครับ โดยเฉพาะประเด็นระหว่าง เนย์มาร์-เมสซี่ ที่จับทิศทางลมแล้วใกล้ถึงจุดแตกหัก เพราะเมื่อเจ้าชายลูกหนังจากบราซิลพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าเขาพร้อมสำหรับการเป็นเบอร์หนึ่ง นั่นหมายถึงเขาไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ใต้ร่มเงาของเมสซี่ เหมือนที่ผ่านมาแต่อย่างใด

ทั้งสองไม่มีทางจะเล่นร่วมกันไปจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอำลาสนามครับ จะมีใครคนหนึ่งเดินออกจากคัมป์ นู ในระยะเวลาไม่ไกลนี้แน่

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น พอให้ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจอย่างยิ่งครับว่า ณ เข็มนาฬิกาเดินไป “เอล กลาสิโก้” กำลังเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

มันไม่ใช่การต่อสู้กันระหว่าง โรนัลโด้ และเมสซี่ เหมือนเก่า

สิ่งที่จะเกิดขึ้นและจบลงที่เบอร์นาบิว จะส่งผลต่อไปกับทั้ง 2 ทีมในอีกหลายปีข้างหน้า - จับตาดูให้ดีครับ

Share this :

Previous
Next Post »